วันเสาร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2562

ขนมหม้อตาล

การทำขนมหม้อตาล


   สวัสดีค่ะวันนี้ขอเสนอเมนู “ขนมหม้อตาล” ขนมหวานไทยโบราณ ที่ในสมัยนี้นั้นหาทานได้ยากมากเลยทีเดียว คนไทยในสมัยก่อน นิยมใช้ในพิธีมงคลสมรสโดยจะเรียกขนมหม้อตาลว่า ขนมหม้อเงิน หม้อทอง หากนำมาใช้ในพิธีแต่งงงาน สำหรับคนจีนในสมัยก่อนนั้น ในปัจจุบันนี้แทบจะหารับประทานได้อยากมาก เนื่องจากกรรมวิธีในการทำขนมหม้อตาลนั้นค่อนข้างยุ่งยากและ สลับซับซ้อน ทำให้ขนมหม้อตาล ถูกลืมเลือนจนแทบจะไม่มีหลงเหลือให้เห็นอีกแล้ว


เครื่องปรุงแป้ง

1.แป้งสาลีอเนกประสงค์ 1 ถ้วย
2.น้ำมันพืช 3 ช้อนโต๊ะ
3.ไข่ไก่ (ใช้แต่ไข่แดง ) 2 ฟอง
4.เกลือ 1/2 ช้อนชา
5.น้ำ 4 ช้อนโต๊ะ
เครื่องปรุงน้ำตาลสำหรับหยอดใส่ในแป้ง
1.น้ำตาลไอซิ่ง 1 ถ้วย
2.สีผสมอาหารหลายๆ สี ๆ ละ 1 – 2 หยด
3.น้ำเย็น 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ ขนมหม้อตาล

1.นวดแป้งกับน้ำมันพืช ไข่แดง เกลือ และน้ำเข้าด้วยกัน ถ้าแป้งแห้งไปให้เติมน้ำได้อีก นวดจนล่อน และมีลักษณะปั้นได้ ใช้ผ้าขาวบางที่เปียกหมาดๆ คลุมแป้งไว้ไม่ให้แห้ง
2.แบ่งแป้งออกเป็นชิ้นเล็กๆ ให้พอใส่พิมพ์ได้ กดลงในพิมพ์ให้เป็นรูปหม้อ แต่งขอบและทำที่จับ หูหิ้วให้สวยงาม นำไปอบไฟ 350 องศาฟาเรนไฮด์ พอน้ำสุกนำออกมาเรียงใส่ถาดพักไว้
3.ใส่น้ำตาลไอซิ่งในชามผสม หยดสีไปตามต้องการ ค่อยๆ เติมน้ำเย็นทีละ 1 ช้อนโต๊ะ คนจนน้ำตาลมีลักษณะข้น นำขึ้นตั้งไฟเคี่ยวพอเป็นยางมะตูมปิดไฟยกลงพักไว้สักครู่พออุ่นและยังไม่ทัน จะแข็งตัว ใช้ช้อนชาเล็กๆ ตักหยดลงในหม้อตาล ทิ้งไว้จนน้ำตาลแข็งตัวจึงเก็บขนมใส่ในภาชนะที่มีฝาปิดมิดชิด

ขนมลา

การทำขนมลา


     สวัสดีค่ะวันนี้ขอเเนะนำขนมไทยชื่อว่า ขนมลา เป็นขนมหวานพื้นบ้านของทางภาคใต้
 ของประเทศไทย ซึ่งทำมาจากแป้งข้าวเจ้า เป็นขนมสำคัญหนึ่งในห้าชนิดที่ใช้สำหรับจัดเพื่อนำไป ถวายพระสงฆ์ในงานประเพณีบุญสารทเดือนสิบ ซึ่งเป็นงานบุญประเพณีที่สำคัญของจังหวัดในภาคใต้ ประจำจังหวัด นครศรีธรรมราช โดยอุทิศส่วนกุศลให้แก่บรรพบุรุษที่ล่วงลับ ขนมลาปรุงขึ้นเพื่อเป็นเสมือนแพรพรรณเสื้อผ้า


ส่วนผสม

แป้งข้าวเจ้า 2 ถ้วยตวง
น้ำตาลทราย ½ ถ้วยตวง
น้ำตาลโตนด ¼ ถ้วยตวง
น้ำ ½ ถ้วยตวง
ไข่ไก่สุก (เอาเฉพาะไข่แดง) 1 ฟอง
น้ำมันพืช ½ ถ้วยตวง

วิธีทำ

1.  ผสมน้ำตาลทราย น้ำตาลโตนด และน้ำ เคี่ยวจนกระทั่งเหนียวข้นเล็กน้อย
2.  นำน้ำตาลที่เคี่ยวข้นแล้วมานวดกับแป้ง นวดจนแป้งเหนียวนิ่มมือ ค่อย ๆ เติมน้ำร้อนทีละน้อยประมาณ 6 ช้อนโต๊ะ เคล้าแป้งต่อจนแป้งเหนียวดีลองใช้มือจุ่มโรยดู เมื่อเห็นว่าเป็นเส้นดีแล้วโรยได้ไม่ขาดสายก็ใช้ได้
3.  ทากระทะด้วยน้ำมันและไข่แดงนิดหน่อย ตั้งไฟพอกระทะร้อนดีแล้วจึงตักแป้งใส่ภาชนะ ซึ่งเจาะรูเล็ก ๆ (ก่อนใส่แป้งให้ทาน้ำมันเล็กน้อยที่ก้นภาชนะ) โรยแป้งลงในกระทะอาจจะโรยเป็นรูปต่าง ๆ ตามใจชอบ เส้นแป้งที่ได้จะมีขนาดเล็กฝอย

หมายเหตุ

1.  ภาชนะสำหรับโรย สมัยก่อนใช้กะลามะพร้าวขูดให้เรียบแล้วเจาะรู ในปัจจุบันนี้อาจใช้ขันอะลูมิเนียม หรือกระป๋องอะลูมิเนียม จำนวนรูตามความต้องการคล้ายกับกระป๋องกดซ่าหริ่ม    2.  ขนมนี้ เป็นขนมที่ใช้ทำบุญตามประเพณีของภาคใต้ในเทศกาลเดือน 10

ที่มา : การทำขนมลา

ขนมโค

การทำขนมโค


       สวัสดีค่ะวันนี้ขอเสนอเมนู ขนมโค อีกหนึ่งขนมไทยหากินยาก ถ้าทำเองบอกเลยง่ายสุด ๆ กระปุกดอทคอมขอนำเสนอวิธีทำ
     ขนมโค สูตรจาก คุณแมวเหมียวโมจิ สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม หน้าตาคล้ายขนมต้ม ต่างกันที่ขนมต้มใส่ไส้กระฉีก ส่วนขนมโคใส่ไส้น้ำตาลแว่นหรือน้ำตาลโตนด แป้งใส่สีหรือไม่ใส่สีก็ได้ ปั้นก้อนกลมพอดีคำ คลุกมะพร้าวขูด กินอร่อยจนหยุดไม่ได้



ส่วนผสม ขนมโค   

     • แป้งข้าวเหนียว
     • น้ำตาลแว่น
     • มะพร้าวขูด (เราหาไม่ได้เลยเอาเนื้อมะพร้าวทึนทึกมาสับ ๆ)
     • เผือกหอมนึ่ง
     • เกลือป่นเล็กน้อย (ใช้สำหรับคลุกกับมะพร้าวขูด)
     • เฮลซ์บลูบอยสีแดง (สีอื่น ๆ หรือน้ำคั้นจากผักสีธรรมชาติ) ไม่ใส่ก็ได้

ขนมโค
     • มาถ่ายรูปหมู่กันหน่อย

ขนมโค

     • รูปเดี่ยวของเผือกก่อนนึ่ง เผือกจะต้องล้างให้สะอาดและเอายางออกให้หมดนะคะ ไม่เช่นนั้นเวลากินอาจจะคันหรือแพ้ได้

ขนมโค

     • เผือกที่นึ่งแล้ว ก่อนนำไปนึ่งหั่นเป็นชิ้น ๆ จะได้สุกเร็วขึ้นค่ะ 

ขนมโค
     • น้ำตาลแว่นที่ได้มาต้องตัดแบ่งอีกครั้งเพื่อนำไปทำไส้ กะขนาดอย่าให้ใหญ่เกินไปนะคะ ไม่เช่นนั้นขนมของเราจะใหญ่ตามไปด้วย


วิธีทำขนมโค


     • ใช้ช้อนกับส้อมบดเผือกนึ่งเสร็จแล้วนำไปผสมกับแป้งข้าวเหนียว นวดผสมกันจนเป็นก้อน ถ้าส่วนผสมแห้งเกินไปก็เติมน้ำเข้าไปได้ค่ะ ถ้ารู้สึกว่าเหนียวไปก็ต้องเติมแป้งเพิ่ม ขั้นตอนนี้อาศัยการกะประมาณเอาล้วน ๆ เมนูนี้เลยไม่ได้มีอัตราส่วนมาให้ดูกัน ต้องขออภัยด้วยค่ะ ถ้าต้องการแป้งสีชมพูก็เอาน้ำหวานสีแดงผสมน้ำเปล่าเทใส่ลงไปแล้วนวดจนเข้ากัน ขั้นตอนนี้มือเราเลอะเลยไม่ได้ถ่ายเอาไว้เลย

ขนมโค

     • แบ่งแป้งเป็นก้อนกลม ๆ ปริมาณของแป้งจะต้องมากพอที่จะหุ้มน้ำตาลที่ตัดเตรียมไว้ได้นะคะ 

ขนมโค

     • เมื่อปั้นเป็นก้อนกลมแล้วก็แผ่เป็นแผ่นบางตามรูปเลยค่ะ กะความหนาให้พอดี สำหรับเราถ้าแป้งหนาไปรู้สึกว่ารสชาติไม่พอดีค่ะ แต่ถ้าแป้งบางไปไส้น้ำตาลจะทะลักได้

ขนมโค

     • วางน้ำตาลลงไปแบบนี้แล้วก็คลึงให้เป็นก้อนกลม ๆ อีกครั้ง

ขนมโค
     • ปั้นเสร็จแล้วหน้าตาจะเป็นแบบนี้

ขนมโค

     • ขั้นต่อไปเรามาเตรียมน้ำสำหรับลวกขนมกันค่ะ เติมน้ำสะอาดใส่ลงในหม้อ ตั้งไฟกลางรอจนน้ำเดือด อย่าลืมกะขนาดของหม้อและปริมาณของน้ำให้เหมาะกับปริมาณของขนมที่จะนำลงไปลวกด้วยนะคะ

ขนมโค
     • เมื่อน้ำเดือดได้ที่แล้วนำขนมโคลงไปลวก ตอนเอาลงไปใหม่ ๆ ตัวขนมจะจมอยู่ก้นหม้อค่ะ เมื่อเห็นขนมลอยขึ้นมาแล้วให้เตรียมกระชอนไว้ตักได้เลย

ขนมโค

     • ตักขึ้นมาอย่างกับไข่งานกาชาด

ขนมโค
     • นำขนมที่สุกแล้วไปแช่น้ำเย็นไว้ครู่หนึ่งกันขนมติดกันค่ะ (เราไม่ชอบให้ขนมติดกันเลยใช้วิธีนี้ แต่สูตรเดิมคือไม่ต้องแช่น้ำค่ะ)

ขนมโค

     • ขั้นสุดท้ายนี้ ตักขนมขึ้นมาเตรียมเสิร์ฟในจาน นำมะพร้าวขูดคลุกกับเกลือป่นเล็กน้อยพอให้มีรสเค็ม ๆ มัน ๆ แล้วนำไปคลุกกับตัวขนมหรือจะโรยแบบเราก็ได้เลยค่ะ  

     รับขนมโคไปกินสักลูกไหมคะ อยากจะบอกว่ารสเค็ม ๆ มัน ๆ ของมะพร้าวตัดกับความหวานของน้ำตาลแว่นและความหนึบของแป้งได้เป็นอย่างดี ทำกินเมื่อไรแป๊บ ๆ ก็หมดเร็วทุกที

     ป.ล. ส่วนผสมและวิธีทำข้างต้นนี้เราอาศัยครูพักลักจำจากแม่มานะคะ ใครอยากแนะนำหรือติชมอะไรเพิ่มเติมก็บอกกันได้ตามอัธยาศัยเลยค่ะ



ที่มา : การทำขนมโค

สำปันนี

การทำสำปันนี


   สวัสดีค่ะวันนี้ดิฉันขอแนะนำ ขนมไทยตำรับท้าวทองกีบม้า ส่วนใหญ่ก็คุ้นปากทั้งนั้น เช่น  ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ทองม้วน เป็นต้น แต่ถ้าเอ่ยถึงขนมสำปันนี เด็กสมัยใหม่คงนึกภาพไม่ออกเพราะไม่เคยเห็น แม้แต่ชื่อก็ยังไม่คุ้นหูด้วย เอาล่ะ… มาสืบทอดวัฒนธรรมขนมไทยโบราณด้วยการทำสำปันนีกันเถอะ กระปุกดอทคอมขอนำเสนอวิธีทำขนมสำปันนี จับแป้งไปคั่วจนสุกแล้วนวดกับกะทิและน้ำตาลทราย เติมสีสันตามชอบแล้วอัดใส่พิมพ์ จะเอาไปอบควันเทียนเพิ่มหรือไม่ก็ตามชอบจ้า

สำปันนี
ส่วนผสม ขนมสำปันนี

      • แป้งมันสำปะหลัง 5 ถ้วย
      • เทียนสำหรับอบขนม
      • น้ำตาลทราย 2 ถ้วย
      • กะทิสด 3 ถ้วย
      • สีผสมอาหารสีเขียวและแดง (หรือสีอื่นตามชอบ)
      • แป้งนวล (สำหรับโรยขนม)
      • พิมพ์ดอกไม้


วิธีทำขนมสำปันนี

     1. นำแป้งมันไปคั่วในกระทะด้วยไฟอ่อนจนแป้งสุก โดยสังเกตจากแป้งจะลื่น ไม่ติดกระทะ
     2. ใส่แป้งลงในหม้อที่มีฝาปิด แหวกแป้งเป็นช่องตรงกลาง จุดเทียนสำหรับอบ ดับไฟให้เหลือแต่ควันแล้วใส่ถ้วยเล็ก ๆ นำไปวางไว้ตรงกลางแป้ง ปิดฝา อบควันเทียน 3 รอบ รอบละ 15-20 นาที (หรืออบข้ามคืนจะทำให้ขนมหอมยิ่งขึ้น)
     3. ใส่น้ำตาลทรายลงในกระทะทองเหลืองแล้วกรองกะทิใส่ตามลงไป นำขึ้นตั้งไฟกลางคนเบา ๆ จนน้ำตาลทรายละลาย หมั่นปาดขอบกระทะด้วย แต่ไม่ต้องคนบ่อยมาก รอจนเดือดจากนั้นลดเป็นไฟอ่อน เคี่ยวต่อจนเริ่มเป็นยางมะตูม ยกลงจากเตา ใช้พายคนจนน้ำเชื่อมขุ่นคล้ายนมข้น พักทิ้งไว้จนอุ่น 
     4. แบ่งน้ำเชื่อมเป็น 2 ถ้วย แล้วหยดสีผสมอาหารลงไปคนผสมให้เข้ากัน จากนั้นแบ่งแป้งเป็น 2 ส่วน ใส่ลงไปในน้ำเชื่อมแล้วคนให้ส่วนผสมจับกันเป็นก้อนแล้วใช้มือนวดต่อจนเนียน
     5. โรยแป้งนวลบาง ๆ ลงในพิมพ์ ปั้นส่วนผสมเป็นก้อนกลมแล้วใส่ลงไปในพิมพ์ กดจนแน่น เคาะออกจากพิมพ์ จัดเสิร์ฟ


วันพฤหัสบดีที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2562

ลูกเดือยน้ำกะทิ

การทำลูกเดือยน้ำกะทิ


      สวัสดีค่ะวันนี้เราจะนำทุกท่านมาทำขนมไทยๆทานกันนะคะ ลูกเดือยธัญพืชที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เพิ่มความอร่อยด้วยการราดน้ำกะทิสด รับรองหวานมัน ถูกใจ ใครไม่ชอบหวานมากก็ไม่ต้องใส่น้ำตาลเยอะได้ค่ะ ตามชอบเลยนะคะ



ส่วนผสมและสัดส่วน
1. ลูกเดือย
2. น้ำตาลทราย
3. ใบเตย
4. น้ำเปล่า
5. น้ำกะทิ
6. เกลือ
7. แป้งข้าวโพด
วิธีปรุง
1. ต้มน้ำใส่ลูกเดือยลงไป ต้มไฟแรงจนกว่าลูกเดือยจะเปื่อย ไม่ต้องปิดฝานะคะ
2. พอลูกเดือยเปื่อยแล้วลงไฟลง เติมน้ำตาลทราย คนให้น้ำตาลละลาย ปิดไฟ
3. ตั้งหม้อใบใหม่ ใส่น้ำกะทิลงไปเปิดไฟอ่อน เติมเกลือ และแป้งข้าวโพดลงไปให้กะทิข้นเล็กน้อย ปิดไฟ
4. ตักลูกเดือยใส่ถ้วย ราดด้วยน้ำกะทิ คนให้เข้ากันก่อนกินนะคะ
เคล็ดลับน่ารู้


อัศจรรย์ธัญพืชลูกเดือย

ลูกเดือยมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว มีสารอาหารสูงโดยเฉพาะ โปรตีน และยังพบสารที่มีองค์ประกอบเป็น กรดอะมิโนรวมถึงวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ เช่น วิตามิน บี 1 บี 2 วิตามิน อี แคลเซียม ฟอสฟอรัส เป็นต้น จากการค้นคว้าวิจัยยังพบว่ามีสารหลายตัวที่มีสรรพคุณ ช่วยในการรักษาเกี่ยวกับโรคภูมิคุ้มกันและยับยั้งสารส่ง เสริมการก่อมะเร็ง ลดโคเลสเตอรอลในเลือดและอื่นๆลูกเดือยมีฤทธิ์เย็น มีกลิ่นหอมเล็กน้อย ช่วยบำรุงปอด ม้าม ช่วยย่อย ขับปัสสาวะ ลดไข้ ช่วยให้ผิวพรรณชุ่มชื้น ลดการเกิดกระ รักษาหูด ลดการเกิดมะเร็ง เพราะมีสารคอกซีโนไลด์ ที่ช่วยยับยั้งการเกิดเนื้องอกได้ ลูกเดือยมีซิลิกอน ที่ช่วยบำรุงผิวและผม มีวิตามินบี 1 บี 2 ที่ช่วยบำรุงสมอง ป้องกันโรคเหน็บชา ช่วยบำรุงกำลัง จึงเหมาะกับผู้ป่วยพักฟื้น เด็ก และผู้สูงอายุ

ขนมปุยฝ้าย

การทำขนมปุยฝ้าย


      สวัสดีค่ะวันนี้เราขอนำเสนอขนมไทยชื่อว่า“ขนมปุยฝ้าย” เป็นขนมไทยสีหวาน ๆ เนื้อนุ่มฟู มีกลิ่นหอมมะลิอ่อน ๆ และเอกลักษณ์ที่เห็นแล้วรู้เลยว่ามันคือ ขนมชนิดนี้ก็คือหน้าที่แตกบานโชว์ให้เห็นเนื้อด้านในนั่นเอง วันนี้เรามีความลับของ “ขนมปุยฝ้าย” ที่จะทำให้ได้ขนมปุยฝ้ายหน้าแตกสวยงามเหมือนที่ร้านทำขาย ว่าแล้วก็มาเข้าครัวกันเลย!


วัตถุดิบ


1. แป้งเค้ก 200 กรัม

2. น้ำตาลทราย 175 กรัม

3. ไข่ไก่ 2 ฟอง

4. น้ำเปล่า 100 มิลลิตร

5. นมข้นจืด 50 มิลลิลิตร

6. ผงฟู 1 ช้อนชา

7. SP 10 กรัม

8. น้ำมะนาว 1 ช้อนชา

9. สีผสมอาหารสีแดงและสีเขียว อย่างละ 1/8 ช้อนชา

10. กลิ่นมะลิ ½ ช้อนชา


วิธีทำ

STEP 1 : ร่อนแป้ง
- ร่อนแป้งกับผงฟูโดยใส่ผงฟูลงไปเพียง ¾ ช้อนชา แล้วพักไว้ในชามผสม


STEP 2 : ตีไข่และผสมแป้ง
- ใส่น้ำ ไข่ และ SP ลงในโถแล้วตีด้วยความเร็วสูงสุด จนไข่ขึ้นฟูเป็นฟองหยาบ แล้วจึงทยอยใส่น้ำตาลลงไปจนหมด จากนั้นตีต่อไปเรื่อย ๆ โดยใช้เวลาประมาณ 5 นาที ตีจนส่วนผสมขึ้นฟูมีลักษณะเป็นสีขาวครีมและมีรอยตะกร้อและน้ำตาลละลายหมด

- ลดความเร็วเครื่องตีลงเป็นระดับต่ำ แล้วนำแป้งที่พักไว้มาผสมกับไข่ โดยเราจะค่อย ๆ เทลงไปจนแป้งหมด เมื่อส่วนผสมเข้ากันดีไม่มีแป้งเป็นเม็ด ๆ แล้วใส่นมข้นจืด กลิ่นมะลิ น้ำมะนาว และผงฟูที่เหลือลงไป

- แบ่งส่วนผสมออกเป็น 2 ส่วน โดยในโถนึงจะใส่สีเขียวลงไป และอีกโถนึงใส่สีแดงลงไป ตะล่อมส่วนผสมอย่างเบามือแล้วพักไว้เป็นเวลา 30 นาที

Tip… การแบ่งผงฟูไว้ผสมกับแป้งก่อนอบและพักแป้งไว้ให้ผงฟูทำงานระยะหนึ่งจะทำให้ขนมหน้าแตกสวยงาม


STEP 3 : นึ่งขนม
- เทน้ำใส่หม้อนึ่งแล้วตกขึ้นตั้งไฟ โดยใช้ไฟแรงเพื่อทำให้น้ำเดือด นำส่วนผสมที่พักไว้ใส่ในถ้วยให้เกือ

บ เต็มถ้วยแล้วนึ่งเป็นเวลา 5-7 นาที แล้วแต่ขนาดของถ้วย เมื่อครบเวลาแล้วเปิดฝาหม้อ เอาขนมออกมาพักเป็นอันพร้อมเสิร์ฟ

Tip… ขนมจะมีสีเข้มขึ้นหลังจากอบเสร็จแล้ว จึงไม่ควรใส่สีผสมอาหารมากเกินไป


ใครจะคิดว่าเบื้องหลังการทำ “ขนมปุยฝ้าย” จะมีเคล็ด (ไม่) ลับไว้ปราบเซียนด้วย แต่ถ้าลองทำตามสูตรนี้ดูแล้วเชื่อว่าคุณก็สามารถทำขนมปุยฝ้ายทานเองได้ที่บ้าน ใครอยากจะให้มีสีสันสวยงามแบบไหนก็สามารถครีเอตด้ตามความชอบเลยค่ะ หรือถ้ายังไม่จุใจเราขอแนะนำสูตรเมนู “ลูกชุบ” เชอร์รี ให้ได้ทำทานที่บ้านกัน 





ขนมจีบไทย

การทำขนมจีบไทย


     สวัสดีค่ะวันนี้ดิฉันขอเเนะนำเมนู"ขนมจีบไทย"อาหารว่างไทยโบราณ ตำรับชาววังสร้างสรรค์ จนกลายมาเป็น ขนมจีบตัวนก สวยงาม ถึงกับออกปากว่า น่ารักจนไม่กล้ารับประทาน” โดยนำแป้งมากวน จนปั้นเป็นก้อน ปั้นให้เป็นรูปทรงตัวนก แล้วจับจีบรอบลำตัว ตัวไส้เป็นเนื้อไก่/หมู สับ เหมาะสำหรับทำทานเล่น หรือทำในงานเลี้ยงต่างๆ เนื่องจากรูปร่างที่น่ารักสวยงาม รับประทาน กับผักกาดหอม ต้นหอม ผักชี ตำรับชาววังจะมีตะลิงปลิง ให้รับประทานแก้เลี่ยนด้วย



- ส่วนผสม ไส้ขนมจีบ

   1.กระเทียม กลีบ
    2.รากผักชี 4-5 ราก
    3.พริกไทย (ปริมาณมาก-น้อยตามชอบ)
    4.หอมใหญ่ (ขนาดกลาง) สับละเอียด หัว
    5.เนื้อกุ้งสับละเอียด 400-500 กรัม
    6.น้ำตาลปี๊บ ช้อนโต๊ะ
    7.น้ำตาลทราย ช้อนโต๊ะ
    8.เกลือ ช้อนชา
    9.ถั่วลิสงคั่วบดหยาบ

- ส่วนผสม แป้งขนมจีบ

    1.แป้งข้าวเจ้า ถ้วย
    2.แป้งมัน ช้อนโต๊ะ
    3.แป้งเท้ายายม่อม ช้อนโต๊ะ
    4.หัวกะทิ ช้อนโต๊ะ
    5.น้ำเปล่า ถ้วย
    6.สีผสมอาหารสีเหลืองสีชมพูสีฟ้าสีม่วง
        หมายเหตุ : แป้งน้อยกว่าไส้ไปหน่อย ก็เลยทำเบิ้ลสูตร ถ้าใครไม่อยากทำเยอะก็ลดไส้ลงได้

- อุปกรณ์

    1.ชุดนึ่ง
    2.ใบตอง
    3.แหนบ (สำหรับจับจีบขนม)

- อื่น ๆ 

    1.แครอท
    2.งาดำ
    3.น้ำมันกระเทียมเจียว
    4.ผักกาดหอม
    5.ผักชี
    6.พริกชี้ฟ้าแดง

- วิธีผัดไส้ขนมจีบ
     
     1. โขลกรากผักชี กระเทียม และพริกไทยเข้าด้วยกัน เตรียมไว้
     2. ตั้งกระทะแล้วใส่น้ำมันพืชลงไปเล็กน้อย พอร้อนใส่เครื่องที่โขลกไว้ลงไปผัดให้หอม ใส่หอมใหญ่สับลงไปผัดจนนิ่ม ใส่เนื้อกุ้งสับลงไปผัดให้สุกเล็กน้อย
     3. ปรุงรสด้วยน้ำตาลปี๊บ ตามด้วยน้ำตาลทราย และเกลือ ผัดผสมให้เข้ากันจนเริ่มงวด
     4. ใส่ถั่วลิสงคั่วบด ผัดให้เข้ากันจนแห้งจนสามารถปั้นเป็นก้อนได้ ตักใส่จาน พักทิ้งไว้จนเย็น
     5. ระหว่างที่รอไส้เย็น เตรียมผักทั้งหมดให้พร้อม หั่นแครอทเป็นสามเหลี่ยมสำหรับทำเป็นปากนก และเตรียมงาดำสำหรับทำเป็นตาเอาไว้
     6. พอส่วนผสมไส้เย็นแล้ว นำมาปั้นเป็นก้อนกลม ๆ ขนาดพอดีคำ เตรียมไว้

- วิธีทำแป้งขนมจีบ

     1. ผสมแป้งข้าวเจ้า แป้งมัน และแป้งเท้ายายม่อมเข้าด้วยกันในอ่างผสม ใส่หัวกะทิลงไป นวดผสมด้วยมือ
     2. เติมน้ำเปล่าลงไป ใช้มือนวดผสมจนแป้งละลายและไม่เป็นเม็ด เทกรองผ่านผ้าขาวบาง เทส่วนผสมแป้งลงกวนในกระทะทองด้วยไฟอ่อน กวนจนแป้งล่อนออกจากกระทะ
     3. นำมานวดโดยโรยแป้งมันลงไปเล็กน้อยเพื่อกันติดด้วย ใช้ตัวช่วยนวดแป้งป้องกันมือพอง พอแป้งอุ่นแล้วก็ใช้มือนวดแป้งตามปกติ
     4. แบ่งแป้งเป็น ส่วนแล้วนวดผสมกับสีผสมอาหารทั้ง สี (ผสมสีกับแป้งนิดเดียวพอ สีจะได้ออกมาแบบธรรมชาติ
     5. ห่อแป้งแต่ละสีด้วยพลาสติกถนอมอาหาร (แป้งจะได้ไม่แห้ง) จากนั้นตัดแป้งแต่ละสีเป็นก้อน ๆ ขนาดให้ใหญ่กว่าไส้นิดหนึ่ง
     6. ปั้นแป้งเป็นก้อนกลม ๆ แล้วขึ้นรูปให้คล้ายผลชมพู่ กดก้นให้เป็นเบ้าลึก (พอให้ใส่ไส้ได้) นำไส้ใส่ลงไปในหลุมแป้ง แล้วห่อปิดแป้งให้มิด จากนั้นทำให้รูปร่างให้เป็นนก ใส่ปากแครอท                   ติดตางาดำ เตรียมไว้
     7. ใช้แหนบบีบเพื่อทำจีบที่ตัวขนมให้มีลักษณะคล้ายปีกนกให้สวยงาม
     8. ใส่ขนมจีบลงในชุดนึ่งที่รองใบตองไว้ พรมน้ำลงไป จากนั้นปิดฝานึ่งด้วยไฟแรง นาน นาที
     9. เมื่อครบ นาทีให้พรมน้ำอีกครั้ง จากนั้นทาน้ำมันกระเทียมเจียวให้ทั่วขนม
     10. จัดใส่จาน เสิร์ฟพร้อมผักกาดหอม ผักชี และพริกชี้ฟ้าแดง



ขนมดอกโสน

การทำขนมดอกโสน

     สวัสดีค่ะวันนี้ดิฉันขอเเนะนำขนมไทยที่มีชื่อว่า ขนมดอกโสน(อ่านว่า ดอก-สะ-โหน) รู้จักกันไหมน๊า! 
แต่ถ้าใครบ้านอยู่ต่างจังหวัดเชื่อว่าน่าจะเคยเห็นนะค่ะ เป็นต้นไม้ล้มลุกที่ขึ้นเองตามแถวแหล่งน้ำ ริมบ่อ ริมคลอง เรียกว่าหาได้ง่ายค่ะ ดอกโสน นอกจากเอามาทำเป็นของหวานอย่างขนมดอกโสนก็ยังเอามาลวกจิ้มกินกับน้ำพริก เอามาผัด เคยเห็นเป็นแพ็กขายตามห้างด้วยนะค่ะ ถ้าเป็นที่บ้านต่างจังหวัดนานๆ ก็จะมีแม่ค้าเอามาขายเป็นถุง ถุงละไม่กี่บาทค่ะ ถ้าใครหาซื้อได้ลองเอามาทำขนมดอกโสนกินดูค่ะ


ส่วนผสมและสัดส่วน
        1. ดอกโสนประมาณ 200 กรัม
2. แป้งข้าวเจ้า 500 กรัม
3. น้ำตาลปี๊บ 250 กรัม 
4. หัวกะทิ 1 ถ้วย
5. น้ำลอยดอกมะลิ 1 ถ้วย
6. เกลือป่น 2 ช้อนชา
7. มะพร้าวทึนทึกขูด
วิธีปรุง
1. เลือกเอาแต่ดอกโสน เด็ดก้านที่ติดมาด้วยทิ้งไป ถ้าซื้อตามตลาดจะมาแบบทั้งก้านค่ะ
2. น้ำไปล้างน้ำสัก1 ครั้ง ต้องล้างเบาๆนิดหนึ่งนะค่ะ ไม่งั้นโสนน้อยของเราช้ำหมด สะเด็ดน้ำให้แห้งค่ะ
3. ใส่แป้งข้าวเจ้าลงในชามในใหญ่ หรือกะละมัง (จะได้คลุกสะดวก)เทน้ำกะทิลงไป โดยแบ่งเทประมาณ 3 -4 ครั้ง ตอนนี้ใช้มือ(ที่ล้างสะอาดแล้วนะคะ) ค่อยๆขยำทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที
4. ใช้กระชอนหรือตะแกรง ที่ร่อนแป้งก็ได้ค่ะนำแป้งใส่กระชอนแล้วยีๆ เอากะละมังรอง ให้แป้งไม่ติดกันเป็นลูก
5. นำดอกโสนมาคลุกกับแป้ง แล้วนำไปนึ่งในซึ้งที่รองด้วยผ้าขาวบาง นึ่งประมาณ 15 นาที
5. พอขนมสุกก็ตักมาโรยหน้าด้วยมะพร้าวขูดแล้วโรยน้ำตาล หรือจะละลายน้ำตาลปี๊บผสมกับเกลือเล็กน้อยในน้ำอุ่นทำเป็นน้ำราดก็ได้ค่ะ


วันพุธที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2562

กะละแม

การทำกะละแม



   กะละแม เป็นขนมไทยที่ทำจากแป้งข้าวเหนียว ซึ่งในอดีตนิยมทำมากในช่วงขึ้นในวันปีใหม่ไทยหรือวันสงกรานต์ไทยที่มักจะใช้ใบตองห่อเป็นรูปพีรามิด ด้านในเป็นเนื้อขนมสีดำ สีแดงอมดำ หรือสีเขียว เนื้อขนมเหนียวนุ่ม ให้รสหวานมัน

วัสดุ และอุปกรณ์

– อ่างผสม
– ถ้วยตวง
– ช้อนตวง
– ถาดอะลูมิเนียม
– กระทะ
– ไม้พาย
– เตาแก๊ส
– ใบตอง (นำมาลนไฟให้เหลือง และอ่อน พร้อมฉีกเป็นแผ่นกว้างประมาณ 1 นิ้ว) หรืออาจใช้แผ่นพลาสติก
– ไม้กลัด (ใช้ไม้ไผ่เหลาหรือก้านมะพร้าว)
สูตรกะละแม
วัตถุดิบสูตรที่1สูตรที่ 2สูตรที่3
– แป้งข้าวเหนียว0.512กิโลกรัม
– แป้งถั่วเขียว0.30.5กิโลกรัม
– แป้งท้าวยายม่อม0.20.50.5กิโลกรัม
– นํ้าตาลทรายแดง11กิโลกรัม
– นํ้าตาลปีบ0.52กิโลกรัม
– นํ้ากะทิ234ถ้วย
– นํ้าปูนใส11.5ถ้วย
– นํ้ากาบมะพร้าวเผา (ให้สีดำ)หรือ น้ำคั้นกาแฟ หรือ นํ้าคั้นใบเตย (ให้สีเขียว)122ถ้วย

วิธีทำกะละแม

– แป้งข้าวเหนียว แป้งถั่วเขียว และแป้งท้าวยายม่อม มาคลุกผสมกัน พร้อมรินน้ำกะทิ และน้ำตาลลงผสมทีละน้อย พร้อมนวดแป้งนาน 20-30 นาที จนไม่เห็นเม็ดน้ำตาล หลังจากนั้น เทน้ำกาบมะพร้าวลงผสม และกวนจนเป็นเนื้อเดียวกัน
– นำน้ำแป้งกะละแมไปตั้งไฟ พร้อมกวนอย่างต่อเนื่องนาน 3-5 ชั่วโมง จนได้เนื้อกะละแมที่เหนียวหนืด ก่อนยกลงตั้งไว้ให้เย็น
– ตักเนื้อกะละแมวางบนใบตอง ก่อนห่อพับซ้าย-ขวา และบน-ล่าง พร้อมกลัดด้วยไม้กลัด

ข้อเสนอแนะ

1. การใช้แป้งข้าวเหนียวดำ อาจไม่จำเป็นต้องใช้น้ำจากกาบมะพร้าวเผา แต่จะได้กะละแมเป็นสีแดงอมดำ ไม่ดำสนิท
2. การทำกะละแมสามารถใช้แป้งข้าวเหนียวเพียงอย่างเดียวก็ได้ ซึ่งการใช้แป้งข้าวเหนียวเพียงอย่างเดียวถือเป็นสูตร และวิธีดั้งเดิมที่คนโบราณทำกัน ซึ่งมักจะนำข้าวเหนียวมาแช่น้ำ และโม่ด้วยมือจนได้น้ำแป้งข้าวเหนียว แต่ปัจจุบันมักเพิ่มแป้งท้าวยายม่อมหรือแป้งถั่วเขียวด้วย เพื่อให้เนื้อกะละแมไม่เหนียวมาก และเพิ่มความนุ่มให้มากขึ้น
3. การนำกะละแมลงเคี่ยว ในตอนแรกให้ใช้ไฟปานกลาง พอให้แป้งเริ่มสุก จากนั้น ให้เพิ่มไฟแรงขึ้นเพื่อเคี่ยวให้ข้น และสุดท้ายค่อยลดไฟลง เพราะหากใช้ไฟแรงมากในช่วงแรกอาจทำให้แป้งจับตัวเป็นก้อนได้
4. การใช้น้ำคั้นเมล็ดกาแฟ ปัจจุบันก็เริ่มนิยมทำกัน ซึ่งจะได้กะละแมสีดำหรือสีน้ำตาลดำตามสีของเมล็ดกาแฟที่นำมาคั้น และช่วยให้กะละแมมีกลิ่นหอมกาแฟ รวมถึงให้รสกาแฟ และช่วยให้รู้สึกกระปรีกระเปร่าเหมือนการกินกาแฟด้วย




เต้าส่วน

การทำเต้าส่วน


    วันนี้เราจะพาทุกท่านเข้าสู่การทำขนมเต้าส่วน (Mung Bean Pudding)กันนะ ขนมไทยเหนียว ๆ ยืด ๆ กรุบ ๆ ขนมไทยทำง่าย อุปกรณ์น้อย รสชาติอร่อยลงตัวทั้งหวานมันได้รสเค็มนิด ๆ จากหน้ากะทิ เด็กกินได้ผู้ใหญ่กินอร่อย แถมวิธีทำก็ง่ายนิดเดียวเองด้วย




ส่วนผสม เต้าส่วน

        • ถั่วเขียวเราะเปลือก (ถั่วทอง) 1+1/4 ถ้วย
        • น้ำเปล่า 3+1/2 ถ้วย
        • ใบเตย 4-6 ใบ (ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้) 
        • น้ำตาลทรายขาว 1 ถ้วย
        • แป้งมันสำปะหลัง 2 ช้อนโต๊ะ
        • แป้งเท้ายายม่อม 2 ช้อนโต๊ะ
        • น้ำเปล่า 1 ถ้วย (สำหรับผสมแป้ง)
        • หัวกะทิ 1+1/4 ถ้วย
        • เกลือป่น 1/2 ช้อนชา

วิธีทำเต้าส่วน

เต้าส่วน

เต้าส่วน
        • ล้างถั่วเขียวเราะเปลือกให้สะอาดประมาณ 3-4 ครั้งจนน้ำที่ล้างถั่วนั้นใส จากนั้นแช่น้ำทิ้งไว้ 2 ชั่วโมง

เต้าส่วน

เต้าส่วน

เต้าส่วน

        • นำถั่วเขียวที่แช่น้ำแล้ววางลงในผ้าขาวบางแล้วนำไปนึ่งในชุดนึ่งที่มีน้ำเดือด ใช้ไฟปานกลาง นึ่งประมาณ 30-40 นาที พอครบเวลา ปิดเตา พักถั่วเขียวทิ้งไว้

เต้าส่วน

        • ใส่น้ำเปล่าลงในหม้อ ตามด้วยใบเตยมัดเป็นปม ต้มจนน้ำเดือดพล่าน

เต้าส่วน

        • เติมน้ำตาลทรายลงไปคนให้น้ำตาลทรายละลาย เคี่ยวจนเดือดอีกครั้งแล้วนำใบเตยทิ้ง 

เต้าส่วน

เต้าส่วน
        • ผสมแป้งมันสำปะหลังกับแป้งเท้ายายม่อม และน้ำเปล่า คนผสมให้แป้งละลายเข้ากัน

เต้าส่วน

เต้าส่วน
        • เทส่วนผสมแป้งละลายน้ำลงในหม้อน้ำเชื่อมที่เดือด ๆ ใช้ไฟอ่อนแล้วคนผสมตลอดเวลาให้เข้ากันจนแป้งเหนียวและใส

เต้าส่วน

        • ใส่ถั่วเขียวนึ่งสุกลงไปคนผสมให้เข้ากัน 

เต้าส่วน

        • รอจนเดือดอีกครั้ง ปิดไฟ ยกลงจากเตา เตรียมไว้

เต้าส่วน

        • ทำหน้ากะทิ โดยใส่กะทิลงในหม้อ ตามด้วยใบเตย และเกลือป่น นำขึ้นตั้งไฟอ่อนจนน้ำกะทิเริ่มเดือดเล็กน้อยไม่ต้องให้แตกมัน ปิดไฟ เตรียมไว้

เต้าส่วน

        • ตักส่วนผสมเต้าส่วนลงในถ้วย

เต้าส่วน

        • ราดด้วยหน้ากะทิ พร้อมเสิร์ฟ